. D-HOUSE GROUP
อุตสาหกรรม ปี 2567-2569: ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง
12 มีนาคม 2567
Executive Summary
ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างปี 2567-2569 มีแนวโน้มเติบโตตามมูลค่าการลงทุนก่อสร้างโดยรวมที่คาดว่าจะขยายตัว 3.0-4.0% ต่อปี โดยมูลค่าก่อสร้างภาครัฐจะขยายตัว 3.5-4.0% ต่อปี ด้วยปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญ ได้แก่ การลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridors: EEC) ภายใต้การเร่งดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย พ.ศ. 2566-2570 ขณะที่มูลค่าการลงทุนก่อสร้างภาคเอกชนทั้งที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ มีแนวโน้มทยอยฟื้นตัว โดยจะขยายตัว 3.0-3.5% ตามกำลังซื้อที่น่าจะปรับตัวดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่คืบหน้ามากขึ้น โดยปัจจัยที่อาจจำกัดการเติบโตส่วนใหญ่มาจากต้นทุนก่อสร้างทั้งวัสดุก่อสร้างและค่าแรง รวมถึงค่าขนส่งที่จะยังทรงตัวสูงตามทิศทางราคาพลังงาน ขณะที่ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Climate change and the race to Net Zero) จะเป็นปัจจัยท้าทายให้ผู้ประกอบการฯ ต้องเร่งปรับตัวในการลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อลดการใช้วัสดุก่อสร้างที่สิ้นเปลือง
มุมมองวิจัยกรุงศรี
ในปี 2567-2569 รายได้ของกลุ่มผู้รับเหมาที่เน้นโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องตามการลงทุนก่อสร้างภาครัฐ ขณะที่รายได้ของกลุ่มที่เน้นโครงการภาคเอกชนจะทยอยปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
• ผู้รับเหมางานก่อสร้างรายใหญ่ คาดว่ารายได้จะขยายตัวต่อเนื่องตามการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความพร้อมในการประมูลรับงานและมีศักยภาพในการบริหารงานก่อสร้างขนาดใหญ่ ทั้งโครงการลงทุนต่อเนื่องของภาครัฐ อาทิ รถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ มอเตอร์เวย์ และโครงข่ายคมนาคมขนาดใหญ่ (Megaprojects) ที่เชื่อมโยงกับพื้นที่ EEC รวมทั้งโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานในพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศที่ยังมีการดำเนินงานต่อเนื่อง ตลอดจนงานก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาคเอกชน ทั้งด้านที่อยู่อาศัย กลุ่มอาคารสูง และอาคารขนาดใหญ่ ทำให้มีแนวโน้มที่ปริมาณงานที่รอดำเนินการ (Backlog) จะยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
• ผู้รับเหมางานก่อสร้างรายกลาง-เล็ก (SMEs) รายได้มีแนวโน้มทรงตัวในปี2567 และจะทยอยฟื้นตัวในปี 2568-2569 โดยได้แรงหนุนจากภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ทยอยฟื้นตัว โดยเฉพาะรายกลางที่มีโอกาสรับงานจากรายใหญ่เพิ่มขึ้น ท่ามกลางปัจจัยที่ยังเหนี่ยวรั้งผลประกอบการจากต้นทุนดำเนินงาน และการขาดแคลนแรงงาน ที่อาจส่งผลให้ผู้รับเหมากลุ่มนี้ยังมีความเสี่ยงด้านปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน
ข้อมูลพื้นฐาน
ในช่วงปี 2557-2566 มูลค่าการลงทุนก่อสร้างโดยรวมมีสัดส่วนเฉลี่ย 8.0% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) (ภาพที่ 1) ส่วนใหญ่เป็นงานก่อสร้างในประเทศ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามลักษณะผู้ว่าจ้าง ได้แก่ งานภาครัฐและเอกชน โดยมีสัดส่วนของมูลค่าการลงทุนก่อสร้างอยู่ที่ 57:43 ในปี 2566 (ภาพที่ 2) ทั้งนี้ ผลจากวิกฤต COVID-19 ในช่วงปี 2563-2565 มีส่วนทำให้มูลค่าการลงทุนก่อสร้างโดยรวมเติบโตในอัตราชะลอลงตามมูลค่าการลงทุนก่อสร้างภาคเอกชนที่ลดลงเทียบกับปี 2562 ขณะที่มูลค่าการลงทุนก่อสร้างภาครัฐยังขยายตัวได้ (ตารางที่ 1) ส่วนหนึ่งเป็นผลจากภาครัฐยังคงเร่งลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง (แม้มีหลายโครงการยังล่าช้ากว่าแผนงาน) เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจและดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ
• งานก่อสร้างภาครัฐ: ส่วนใหญ่เป็นโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน คิดเป็นสัดส่วน 81% ของมูลค่าก่อสร้างภาครัฐทั้งหมดในปี 2566 ที่เหลือเป็นโครงการก่อสร้างอาคารของหน่วยงานรัฐ (17%) และที่พักของข้าราชการ (2%) ผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่มักได้เปรียบในการรับงานภาครัฐ โดยเฉพาะงานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เนื่องจากมีทั้งประสบการณ์ ความชำนาญเฉพาะด้าน ศักยภาพทางการเงิน และการพัฒนาเทคนิคและเทคโนโลยีในงานก่อสร้างมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนผู้รับเหมา SMEs จะมีโอกาสรับงานภาครัฐในลักษณะของผู้รับเหมาช่วง (Sub-contractors)
• งานก่อสร้างภาคเอกชน: ส่วนใหญ่เป็นงานก่อสร้างที่อยู่อาศัย คิดเป็นสัดส่วน 52% ของมูลค่าก่อสร้างภาคเอกชนทั้งหมด ที่เหลือเป็นงานก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม และอาคารพาณิชยกรรม เช่น ศูนย์การค้า โรงแรม และโรงพยาบาล เป็นต้น ทิศทางงานก่อสร้างภาคเอกชนขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นในการลงทุน เสถียรภาพการเมือง การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และนโยบายกระตุ้นการลงทุนของภาครัฐ
ที่ผ่านมา ผู้รับเหมาของไทยได้ขยายฐานลูกค้าโดยออกไปรับงานต่างประเทศ (ส่วนมากเป็นผู้รับเหมารายใหญ่) โดยเน้นกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เนื่องจากประเทศเหล่านี้อยู่ในช่วงของการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น โครงข่ายถนน รถไฟ โรงไฟฟ้า รวมถึงงานก่อสร้าง ซ่อมแซม/ตกแต่ง อาคารและที่อยู่อาศัย
ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลในไทยและที่ยังดำเนินการอยู่ มีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 108,000 ราย (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ปี 2565) ผู้ประกอบการรายใหญ่มีจำนวนเพียง 709 ราย หรือสัดส่วนเพียง 0.7% ของจำนวนผู้ประกอบการทั้งหมด อย่างไรก็ตาม รายได้ของผู้ประกอบการรายใหญ่มีสัดส่วนสูงประมาณ 55% ของผู้ประกอบการทั้งหมด โดยผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ที่มีรายได้มากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.อิตาเลียนไทย ดิเวลอปเมนต์ บมจ. ชิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น และ บมจ.ช.การช่าง มีส่วนแบ่งรายได้รวมกัน 67% ของ 12 บริษัทรับเหมาก่อสร้างที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์2/ (ภาพที่ 3, ข้อมูลปี 2565) และ 17% ของกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ทั้งหมด
ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่มีผลในการกำหนดทิศทางภาวะธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ประกอบด้วยปัจจัยทั้งด้านตลาดและต้นทุน
1) ด้านตลาด: หมายถึงโอกาสการรับรู้รายได้ของผู้ประกอบการซึ่งผันแปรตามภาวะเศรษฐกิจ การเมือง แผนและความก้าวหน้าของการลงทุนในโครงการของภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงกฎระเบียบการลงทุนของแต่ละประเทศที่อาจเอื้อหรือเป็นอุปสรรคต่อธุรกิจ
2) ด้านต้นทุน: หมายถึงการเปลี่ยนแปลงของราคาวัสดุก่อสร้างและค่าจ้างแรงงาน โดยปัจจุบันธุรกิจก่อสร้างไทยประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงาน รวมทั้งทักษะที่ยังไม่เพียงพอ ส่งผลให้ผลิตภาพแรงงานส่วนใหญ่ยังต่ำกว่าค่าจ้าง ซึ่งมีผลต่อความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ โดยโครงสร้างต้นทุนของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ประกอบด้วย (1) ค่าวัสดุก่อสร้าง ได้แก่ เหล็ก คอนกรีต ปูนซีเมนต์ และอื่นๆ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60% ของต้นทุนรวม (2) ค่าจ้างแรงงาน 20% และ (3) ค่าใช้จ่ายอื่นๆ 20%3/ (ภาพที่ 4)
• การปรับตัวของผู้รับเหมาก่อสร้างในช่วงที่ผ่านมา
o รายใหญ่ อาศัยความได้เปรียบจากการมีอำนาจการต่อรองสูงกับผู้ผลิต/ผู้ค้าวัสดุก่อสร้างในการบริหารต้นทุนด้านวัตถุดิบ รวมทั้งการหาช่องทางธุรกิจต่อเนื่องจากการรับเหมาก่อสร้างเพื่อรักษาฐานรายได้และกำไร เช่น การบริหารจัดการระบบรถไฟฟ้า ส่วนด้านการลงทุนจะเน้นเพิ่มการลงทุนด้านเครื่องจักรที่มีเทคโนโลยีมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะขาดแคลนแรงงาน ลดระยะเวลาก่อสร้าง และแก้ไขข้อผิดพลาดระหว่างการก่อสร้าง อาทิ BIM (Building Information Modeling) Prefabs (Prefabricated Building Components)
o รายกลางและรายเล็ก ส่วนใหญ่เป็นการบริหารงานแบบครอบครัว มีเงินทุนจำกัด จึงมีอำนาจการต่อรองต่ำกว่า โดยจะรับเหมาช่วงจากผู้รับเหมารายใหญ่ โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ รวมถึงมองหาช่องทางเพิ่มรายได้จากงานซ่อมแซมและปรับปรุงอาคาร
สถานการณ์ที่ผ่านมา
ปี 2566 ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอยู่ในภาวะทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2565 พิจารณาจากมูลค่าการลงทุนภาคก่อสร้างโดยรวมที่เพิ่มขึ้น 0.4% คิดเป็นมูลค่า 1,373.7 พันล้านบาท เทียบปี 2565 ที่ขยายตัว 0.5% คิดเป็นมูลค่า 1,368.6 พันล้านบาท (ภาพที่ 5) ปัจจัยหนุนมาจากทั้งมูลค่าการก่อสร้างภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นตามแรงขับเคลื่อนของการก่อสร้างหมวดโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารพาณิชย์ ขณะที่มูลค่าก่อสร้างภาครัฐหดตัวตามความล่าช้าของโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ และยังไม่มีโครงการขนาดใหญ่ที่เริ่มก่อสร้างใหม่ในช่วงนี้ ส่วนหนึ่งจากผลของปัจจัยการเมืองในช่วงรอกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่
• งานก่อสร้างภาครัฐปี 2566 มีมูลค่า 784.3 พันล้านบาท หดตัว -2.2% (ภาพที่ 6) ตามการหดตัวของการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน
o งานก่อสร้างด้านโครงสร้างพื้นฐาน (สัดส่วน 81% ของมูลค่าการก่อสร้างภาครัฐทั้งหมด) มีมูลค่าการลงทุนก่อสร้าง 633.4 พันล้านบาท หดตัว -3.6% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความล่าช้าของกระบวนการก่อสร้างตั้งแต่การเบิกจ่ายงบประมาณจนถึงระยะเวลาการก่อสร้าง โดยเฉพาะไตรมาส 4 ที่หดตัวถึง -22.0% (เทียบกับไตรมาส 4 ปี 2565 ที่ขยายตัว 10.3%) โดยโครงการลงทุนก่อสร้างสำคัญที่ยังขยายตัวได้ในช่วงปีที่ผ่านมา มาจากโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่กำลังลงทุนก่อสร้างต่อเนื่อง อาทิ รถไฟฟ้าสายต่างๆ เช่น (1) โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ความคืบหน้า 98.9% (2) โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช-เมืองทองธานี ความคืบหน้า 44.6% (ข้อมูล ณ มกราคม 2567) และ (3) สายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ความคืบหน้า 24.6% (ข้อมูล ณ ธันวาคม 2566) รวมถึงโครงการเมะโปรเจกต์ในพื้นที่ EEC อาทิ (1) โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด เฟส 3 ความคืบหน้าในการก่อสร้าง 73.0% (ข้อมูล ณ ธันวาคม 2566) (2) โครงการท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 ซึ่งได้ส่งมอบพื้นที่ถมทะเลบางส่วนไปแล้วเมื่อ 1 ตุลาคม 2566 และคาดว่าจะส่งมอบพื้นที่ถมทะเลส่วนที่เหลือได้ในเดือนมิถุนายน 2567 โดยมีกำหนดแล้วเสร็จเดือนมิถุนายน 2569
o งานก่อสร้างประเภทอื่นๆ ได้แก่ การก่อสร้างอาคารสำนักงานของหน่วยงานภาครัฐ มีมูลค่าการลงทุนก่อสร้าง 132.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.2% (เทียบกับปี 2565 ที่หดตัว -3.8%) เนื่องจากกลุ่มผู้รับเหมาขนาดกลาง-เล็ก (SMEs) หลายรายประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงินและขาดแคลนแรงงานจำนวนมากในช่วงที่ COVID-19 ยังคงระบาดหนัก ส่วนอาคารที่อยู่อาศัยสำหรับพนักงานองค์กรของรัฐมีมูลค่าการลงทุนก่อสร้าง 18.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.6% (เทียบกับปี 2565 ที่เพิ่มขึ้น 18.1%) หลังจากที่ต้นทุนด้านวัสดุก่อสร้างเริ่มทยอยปรับลดลงต่อเนื่อง เทียบกับที่ปรับสูงขึ้นในช่วงปี 2564-2565 (ภาพที่ 9-10)
• งานก่อสร้างภาคเอกชนปี 2566 มีมูลค่า 589.4 พันล้านบาท ขยายตัว 3.9% (ภาพที่ 7) แรงขับเคลื่อนส่วนใหญ่มาจากโครงการก่อสร้างโรงงานและอาคารพาณิชย์
o งานก่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัย (สัดส่วน 52% ของมูลค่าการก่อสร้างภาคเอกชนทั้งหมด) มูลค่าการลงทุนก่อสร้าง 306.5 พันล้านบาท แม้ขยายตัว 3.1% ตามทิศทางกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้น แต่เป็นอัตราการเพิ่มขึ้นที่ชะลอตัวลงจากปี 2565 ที่เพิ่มขึ้น 5.6% สอดคล้องกับจำนวนโครงการที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ทั่วประเทศช่วง 9เดือนแรกปี 2566 ที่ลดลง -5.8% YoY โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และ 4 จังหวัดหลักภูมิภาค (เชียงใหม่ ชลบุรี ขอนแก่น และภูเก็ต) ที่ลดลง -7.4% YoY (ภาพที่ 😎 เนื่องจาก (1) กำลังซื้อผู้บริโภคโดยรวมยังซบเซา ภายใต้แรงกดดันของอัตราเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่ยังสูง (2) สถาบันการเงินระมัดระวังการให้สินเชื่อมากขึ้น ขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น และ (3) การขาดแคลนแรงงานก่อสร้าง ส่งผลกระทบต่อบางโครงการโดยเฉพาะโครงการที่อยู่ในความรับผิดชอบของผู้รับเหมาก่อสร้างรายกลาง-เล็ก (SMEs)
o งานก่อสร้างโครงการที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัย ประกอบด้วย โครงการก่อสร้างหมวดอาคารเพื่อการพาณิชย์ การก่อสร้างในหมวดการบริการและขนส่ง และการก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม โดยมีมูลค่าการลงทุนก่อสร้าง 282.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.9% ส่วนหนึ่งเป็นแรงหนุนจากขยายตัวของการลงทุนก่อสร้างโรงงาน และอาคารสำนักงานในนิคมอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ EEC ตามการลงทุนที่ทยอยฟื้นตัว
• ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างปี 2566 เพิ่มขึ้นเพียง 0.1% เทียบกับที่เพิ่มขึ้น 5.8% ในปี 2565 ตามดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก (สัดส่วน 23% ของมูลค่าต้นทุนวัสดุก่อสร้างทั้งหมด) ที่ลดลง -3.6% (ภาพที่ 9) โดยเป็นการลดลงของราคาเหล็กก่อสร้างบางประเภท อาทิ เหล็กเส้นกลม เหล็กข้ออ้อย และเหล็กโครงสร้างรูปพรรณตัวซี (Channel) (ภาพที่ 10) เนื่องจากปัญหาวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ของจีน ทำให้จีนต้องระบายสินค้าเหล็กส่งออกมากขึ้นโดยเฉพาะตลาดอาเซียน ขณะที่ดัชนีราคาปูนซีเมนต์ (สัดส่วน 13%) ปรับเพิ่มขึ้น 1.9% ตามความต้องการใช้ในภาคก่อสร้างทั้งภาครัฐและเอกชนที่ขยายตัว ขณะที่ดัชนีราคาผลิตภัณฑ์คอนกรีตเพิ่มขึ้น (+1.4%) ตามราคาวัตถุดิบ อาทิ ทราย และปูนซีเมนต์ ที่ยังปรับสูงขึ้น
• รายได้ของผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (12 รายแรกที่มีรายได้สูงสุด) ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2566 เพิ่มขึ้น 7.3% YoY ตามการฟื้นตัวของภาวะการก่อสร้าง ขณะที่อัตรากำไรสุทธิ (Net profit margin) ยังไม่สูงนักเพียง 0.5% (ซึ่งปรับตัวดีขึ้นเทียบกับ -1.8% ในช่วงเดียวกันปี 2565 ที่ยังได้รับผลกระทบจากความล่าช้าของงานก่อสร้างอันเนื่องมาจากปัจจัย COVID-19 และแรงงานขาดแคลน) โดยอัตรากำไรสุทธิที่ยังค่อนข้างทรงตัวดังกล่าว ส่วนหนึ่งเป็นผลจากต้นทุนการดำเนินที่ยังคงสูง อาทิ ค่าวัสดุก่อสร้าง และค่าขนส่ง (ภาพที่ 11)
แนวโน้มอุตสาหกรรม
ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมีแนวโน้มจะเติบโตต่อเนื่องในช่วงปี 2567-2569 ตามมูลค่าการลงทุนก่อสร้างโดยรวมที่คาดว่าจะขยายตัว โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับ EEC และโครงการขยายเส้นทางการคมนาคมขนส่ง โดยเฉพาะทางรางและถนน รวมถึงการลงทุนโครงการก่อสร้างภาคเอกชน ทั้งในส่วนที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ที่มีแนวโน้มทยอยฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ คาดว่ามูลค่าการลงทุนก่อสร้างโดยรวมจะขยายตัวได้ในอัตรา 3.0-4.0% ต่อปี (ภาพที่ 12) โดยยังมีปัจจัยเหนี่ยวรั้งที่อาจจำกัดการเติบโตของมูลค่าการลงทุนก่อสร้าง อาทิ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่น่าจะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ต้นทุนก่อสร้างที่ยังสูงตามทิศทางราคาพลังงาน ค่าขนส่ง และวัสดุก่อสร้าง
• มูลค่าการลงทุนก่อสร้างภาครัฐ ในช่วงปี 2567-2569 คาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ย 3.5-4.0% ต่อปี ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญมาจากการเร่งรัดดำเนินงานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย พ.ศ. 2566 - 2570 ในส่วนของกระทรวงคมนาคม ซึ่งประกอบด้วยโครงการลงทุนทั้งหมด 77 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 337.8 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม ปัจจัยด้านการเมืองจากความล่าช้าในการอนุมัติงบประมาณปี 2567 ซึ่งคาดว่าจะประกาศใช้ได้ภายในเดือนพฤษภาคม 2567 (ผู้จัดการรายวัน 11 มกราคม 2567) อาจมีผลให้การลงทุนตามโครงการก่อสร้างภาครัฐโดยรวมยังคงทำได้ล่าช้าในปี 2567 ก่อนที่จะเร่งตัวในปี 2568 เป็นต้นไป
o โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงกับพื้นที่ EEC ตามแผนปฏิบัติการโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2566-2570 คาดว่าการลงทุนก่อสร้างรอบใหม่ตามแผนน่าจะเร่งตัวชัดขึ้นในปี 2568 หลังกระบวนการอนุมัติงบประมาณแผ่นดินภายใต้รัฐบาลชุดใหม่แล้วเสร็จ จากช่วงที่ผ่านมา โครงการเกี่ยวเนื่องกับ EEC ส่วนใหญ่ยังล่าช้ากว่าแผน โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน อาจลงทุนก่อสร้างไม่ทันในรอบปี 2567 เนื่องจากโครงการนี้อาจต้องผ่านกระบวนการสรรหาผู้ลงทุนรับเหมาก่อสร้างเพื่อทำสัญญาว่าจ้างรอบใหม่ หลังจากสัญญาเดิมหมดอายุ โดยโครงการที่มีความคืบหน้าด้านการลงทุนและดำเนินการก่อสร้างแล้วในลำดับต้นๆ คือ โครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 (คืบหน้า 73%, ข้อมูล ณ ธันวาคม 2566) และคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จตามแผนภายในปี 2570
o โครงการสำคัญในพื้นที่อื่นๆ ส่วนใหญ่เป็นโครงการลงทุนก่อสร้างเพื่อสนับสนุนศักยภาพด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ของไทย และเชื่อมโยงการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น โครงการรถไฟทางคู่ (ระยะที่ 1 และ 2) รถไฟความเร็วสูง โครงข่ายทางหลวงแผ่นดินทั่วประเทศ และโครงการพัฒนาศักยภาพท่าอากาศยานเพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายคมนาคมขนส่ง เป็นต้น (ตารางที่ 4) โดยโครงการใหม่ที่จะเริ่มก่อสร้างในปี 2567 และ 2568 คิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวม 3.9 แสนล้านบาท (จำนวน 31 โครงการ) และ 2.6 แสนล้านบาท (จำนวน 57 โครงการ) ตามลำดับ (กรุงเทพธุรกิจ, 31 มกราคม 2567)
• มูลค่าการลงทุนก่อสร้างภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ย 3.0-3.5% ต่อปี ในช่วงปี 2567-2569 ปัจจัยหนุนจาก
o โครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัย คาดว่าจะมีจำนวนเปิดขายใหม่จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เฉลี่ยปีละ 3.0-4.0% ในช่วงปี 2567-2569 หรือประมาณ 9.6 หมื่นยูนิตต่อปี (ภาพที่ 13) สำหรับโครงการในกรุงเทพฯ และปริมณฑล (BMR) และ 4.0-5.0% ต่อปี สำหรับโครงการใน 6 จังหวัดหลักภูมิภาค4/ แรงหนุนจากการขยายโครงข่ายการคมนาคมของภาครัฐ ทั้งโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายและมอเตอร์เวย์ที่เชื่อมต่อการเดินทางระหว่างชานเมืองสู่ตัวเมืองได้รวดเร็วขึ้น ส่วนการก่อสร้างคอนโดมิเนียมจะปรับดีขึ้นในบางพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ใจกลางเมืองและแนวรถไฟฟ้าบางเส้นทาง ซึ่งส่วนใหญ่จะเอื้อประโยชน์ต่อผู้รับเหมารายใหญ่ แม้จะมีปัจจัยเหนี่ยวรั้งที่ทำให้โครงการที่อยู่อาศัยบางโครงการล่าช้า ได้แก่ (1) ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินจากระดับหนี้ครัวเรือนที่ยังคงสูง บั่นทอนการฟื้นตัวของกำลังซื้อโดยรวม (2) อุปทานสะสมที่ยังค่อนข้างสูง และ (3) ต้นทุนก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะราคาวัสดุก่อสร้าง หนุนให้ราคาที่อยู่อาศัยปรับสูงขึ้น (บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LWS) ประเมินปี 2567 ราคาที่อยู่อาศัยในไทยมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 5-10%, ธันวาคม 2566) จากเหตุผลข้างต้น อาจส่งผลให้การลงทุนของผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์บางโครงการไม่ได้เป็นไปตามแผน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อรายได้และกำไรของผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างโดยเฉพาะรายเล็ก
o การก่อสร้างโรงงานและนิคมอุตสาหกรรมคาดว่าจะได้รับผลดีจากการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการ EEC ซึ่งผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมมีแผนลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมใหม่และพัฒนาที่ดินเพื่อขายและสร้างโรงงานอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการขยายตัวของการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายกลุ่ม S-Curve
o โครงการก่อสร้างอาคารเพื่อการพาณิชย์ แบ่งเป็น (1) การก่อสร้างพื้นที่ค้าปลีก (Retail space) มีแนวโน้มขยายตัวตามแผนการลงทุนของผู้พัฒนาโครงการ (ภาพที่ 14) เพื่อรองรับการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน และภาคการท่องเที่ยว ทั้งนี้ วิจัยกรุงศรีคาดว่าจะมีอุปทานพื้นที่ใหม่เข้าสู่ตลาดเฉลี่ย 3.7% ต่อปี และ (2) การก่อสร้างอาคารสำนักงาน (Office building) คาดว่าจะเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของการลงทุนในภาคธุรกิจ โดยวิจัยกรุงศรีประเมินอุปทานสำนักงานใหม่ใน BMR จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2.6% ต่อปี หรือประมาณ 8 แสนตารางเมตร
• ราคาวัสดุก่อสร้างในประเทศโดยรวมในปี 2567-2569 มีแนวโน้มขยับขึ้นเล็กน้อย (ภาพที่ 15) ตาม (1) อุปสงค์ในภาคก่อสร้างที่จะฟื้นตัวต่อเนื่อง (2) ต้นทุนวัตถุดิบนำเข้าที่อาจจะยังคงสูงตามทิศทางราคาในตลาดโลก อาทิ เศษเหล็ก (Scrap) เหล็กแท่งเล็ก (Billet) แม้ว่าอุปทานเหล็กนำเข้าจากจีนอาจทะลักเข้ามาจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้ราคาเหล็กกึ่งสำเร็จรูปและสำเร็จรูปในประเทศปรับลดลงบ้างเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และ (3) ต้นทุนพลังงานที่ทรงตัวสูงจากปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical risks) ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน และอิสราเอล-ฮามาส ที่น่าจะยืดเยื้อ
• การทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้านกลุ่ม CLM ซึ่งศักยภาพในการลงทุนส่วนใหญ่จะจำกัดอยู่ในกลุ่มผู้รับเหมารายใหญ่ เนื่องจากมีความพร้อมด้านเงินทุน ด้านเทคโนโลยีในการเพิ่มประสิทธิภาพงานก่อสร้างขั้นสูง และสายสัมพันธ์ทางธุรกิจ (Business connection) กับนักลงทุนท้องถิ่นที่เอื้อต่อการขยายช่องทางการลงทุน โดยผู้รับเหมาของไทยมีโอกาสรับงานเพิ่มขึ้นในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งคาดว่าจะมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่องรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและการขยายตัวของความเป็นเมือง (Urbanization) ซึ่งรวมถึงโรงงานอุตสาหกรรม อาคารสำนักงาน และที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม การรับงานก่อสร้างในประเทศเพื่อนบ้านยังมีปัจจัยเสี่ยงทางธุรกิจ ได้แก่ (1) ด้านกฎระเบียบในการว่าจ้างที่อาจไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล เงื่อนไขสัญญารับเหมาที่มีความไม่แน่นอน (2) ความไม่มั่นคงด้านเสถียรภาพทางการเมืองในบางประเทศ (3) การแข่งขันกับผู้รับเหมาต่างชาติรายอื่นๆ รวมถึงผู้รับเหมาในประเทศผู้ว่าจ้าง ซึ่งแนวทางในการลดความเสี่ยงข้างต้น ผู้รับเหมาไทยควรหาพันธมิตรทางธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานรับเหมาก่อสร้างในประเทศผู้ว่าจ้าง อาทิ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์/ผู้รับเหมาท้องถิ่น รวมถึงบริษัทจัดหาแรงงานท้องถิ่น เพื่อให้มีช่องทางในการรับงานได้ต่อเนื่อง
• ปัจจัยจำกัดการเติบโตทางธุรกิจ ได้แก่
o ภาวะขาดแคลนแรงงานก่อสร้าง เป็นผลกระทบต่อเนื่องจากวิกฤต COVID-19 มาถึงปัจจุบัน อีกทั้งยังต้องแย่งแรงงานจากภาคการผลิตและบริการอื่น (โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าว) อาจมีผลให้บางโครงการล่าช้า ส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้รับเหมาก่อสร้างโดยเฉพาะรายกลาง-เล็ก โดยข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และกระทรวงแรงงาน ระบุว่า ในปี 2565 ความต้องการแรงงานในสถานประกอบการสาขาการก่อสร้างมีจำนวน 1.32 ล้านคน แต่มีผู้มีงานทำสาขาก่อสร้างในระบบประกันสังคม 1.16 ล้านคน เท่านั้น (ตารางที่ 5)
o สต็อกที่อยู่อาศัยยังทรงตัวในระดับสูง (ภาพที่ 16) ขณะที่อุปทานใหม่ยังเข้ามาในตลาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้มูลค่าการลงทุนก่อสร้างที่อยู่อาศัยโครงการใหม่ๆ ของภาคเอกชนอาจมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ
• เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เป็นปัจจัยท้าทายทางธุรกิจ อุตสาหกรรมก่อสร้างเป็นอีกอุตสาหกรรมหนึ่งที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศจำนวนไม่น้อยและเพิ่มขึ้นทุกปีเช่นเดียวกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่น (ภาพที่ 17) การก่อสร้างอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Building)5/ จึงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามกระแส ESG (Environmental, Social and Governance) ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์สำคัญของโลกในปัจจุบัน ทั้งนี้ Precedence Research ประมาณการว่ามูลค่าตลาด Green Building ของโลกจะขยายตัวต่อเนื่องเฉลี่ยประมาณ 9.5% ต่อปี ในช่วงปี 2566-2571 (ภาพที่ 18) และการดำเนินการที่เกี่ยวกับอาคารสีเขียวทั่วโลกจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง (ภาพที่ 19)
ผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่จะเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการดำเนินการด้านเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้ก่อนผู้รับเหมากลุ่ม SMEs เนื่องจากมีความพร้อมทางด้านเงินทุนและเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ในการก่อสร้างเพื่อลดการใช้วัสดุก่อสร้างที่สิ้นเปลือง เพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินงานก่อสร้าง รวมถึงลดการใช้แรงงานจากการลงทุนใช้โดรนก่อสร้าง โดย Allied Market Research (ตุลาคม 2563) คาดว่ามูลค่าตลาดโลกของโดรนที่ใช้ในการก่อสร้างจะอยู่ที่ 4.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2562 และเพิ่มเป็น 11,968.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2570 หรือมีอัตราการเติบโตประมาณ 15.4% ต่อปี (CAGR) ในช่วงดังกล่าว นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีอื่นที่คาดว่าจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นในธุรกิจก่อสร้าง ได้แก่ 3D-Printing และการสร้างแบบจำลองข้อมูลอาคาร (Building Information Modeling: BIM) เป็นต้น
1/ ค่า K คือ ดัชนีที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของค่างาน ณ ระยะเวลาที่ผู้รับเหมาก่อสร้างเปิดซองประกวดราคา เปรียบเทียบกับระยะเวลาที่ส่งงานในแต่ละงวด เพื่อใช้สำหรับคำนวณเงินชดเชยค่าก่อสร้างให้กับผู้รับเหมา เพื่อลดผลกระทบด้านต้นทุนจากราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับสูงขึ้นในช่วงระหว่างการดำเนินโครงการก่อสร้าง (ที่มา: สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์)
2/ ได้แก่ 1) บมจ. คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) 2) บมจ. เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง 3) บมจ. ซีฟโก้ 4) บมจ. พรีบิลท์ 5) บมจ. ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น 6) บมจ. ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น 7) บมจ. เนาวรัตน์พัฒนาการ 😎 บมจ.
ช.การช่าง 9) บมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น 10) บมจ. อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ 11) บมจ. ไทยโพลีคอนส์ และ 12) บมจ. ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น
3/ คำนวณจากโครงสร้างต้นทุนของผู้ประกอบการรายใหญ่ และตารางปัจจัยการผลิต-ผลผลิต สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2558
4/ ได้แก่ 1) เชียงใหม่ 2) ชลบุรี 3) ระยอง 4) นครราชสีมา 5) ขอนแก่น และ 6) ภูเก็ต
5/ อาคารสีเขียว (Green building) มีส่วนช่วยในการประหยัดพลังงาน ประสิทธิภาพน้ำ การลดของเสีย การลดคาร์บอนไดออกไซด์ และการควบคุมมลพิษ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น